ฟีเจอร์หลักของเรา
เครื่องมือครบครันสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ค้นหาสถานีชาร์จ
ค้นหาสถานีชาร์จ EV ทั่วประเทศ ตรวจสอบสถานะหัวชาร์จ และดูรีวิวได้แบบเรียลไทม์
เปรียบเทียบรถ EV
ค้นหา เปรียบเทียบสเปครถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น พร้อมให้ AI ช่วยแนะนำคันที่ใช่สำหรับคุณ
ค้นหาศูนย์บริการ
ค้นหาศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ ใกล้บ้านคุณ
ข่าวสารและสินค้า
อัปเดตข่าวสารในวงการยานยนต์ไฟฟ้า และเลือกซื้ออุปกรณ์เสริมสำหรับรถ EV ของคุณ
สถานีชาร์จแนะนำ
สถานีที่ได้รับความนิยมและคะแนนรีวิวสูงจากผู้ใช้งาน
CentralWorld Supercharge
999/9 Rama I Rd, Pathum Wan, Bangkok 10330
Siam Paragon EV Park
991 Rama I Rd, Pathum Wan, Bangkok 10330
บทความล่าสุด
ดูทั้งหมดเปรียบเทียบสองสุดยอดซีดานไฟฟ้าแห่งยุค ทั้งด้านสมรรถนะ, ระยะทาง, เทคโนโลยี, และความคุ้มค่า ใครคือตัวจริงในสนามนี้? การมาถึงของ BYD Seal ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำตลาดอย่าง Tesla Model 3 ที่ครองตำแหน่งซีดานไฟฟ้าขายดีมาอย่างยาวนาน คำถามที่หลายคนสงสัยคือ Seal สามารถท้าชิงตำแหน่งจาก Model 3 ได้จริงหรือไม่? ในด้านการออกแบบ Seal มาพร้อมกับดีไซน์ 'Ocean Aesthetics' ที่ดูพลิ้วไหวและสปอร์ตกว่า ในขณะที่ Model 3 ยังคงความมินิมอลเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความล้ำสมัยที่เป็นเอกลักษณ์ เมื่อพูดถึงสมรรถนะ รุ่น Performance ของทั้งสองคันต่างมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในระดับ 3 วินาทีเศษ แต่ฟีลลิ่งการขับขี่อาจแตกต่างกัน Seal ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่าเล็กน้อยจากช่วงล่าง iTAC (Intelligence Torque Adaption Control) ในขณะที่ Model 3 จะมีความกระชับและเฉียบคมตามสไตล์ Tesla สำหรับระยะทางวิ่ง รุ่น Long Range ของ Model 3 ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยตามมาตรฐาน WLTP แต่ในชีวิตจริง ปัจจัยอย่างพฤติกรรมการขับขี่และสภาพอากาศก็มีผลอย่างมากเช่นกัน เทคโนโลยีแบตเตอรี่ Blade Battery ของ BYD ก็ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและทนทาน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่น่าสนใจ ภายในห้องโดยสาร Seal โดดเด่นด้วยหน้าจอกลางที่หมุนได้และวัสดุที่ดูหรูหรากว่า ในขณะที่ Model 3 เน้นความโปร่งโล่งและการควบคุมทุกอย่างผ่านหน้าจอเดียว ซึ่งเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสียแล้วแต่ความชอบ สรุปแล้ว ทั้งสองคันต่างเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ยอดเยี่ยมและมีจุดเด่นแตกต่างกันไป การตัดสินใจเลือกระหว่าง BYD Seal และ Tesla Model 3 จึงขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญกับอะไรมากที่สุด: ดีไซน์ที่โดดเด่นและความหรูหราของ Seal หรือความมินิมอล เทคโนโลยี และเครือข่าย Supercharger ที่แข็งแกร่งของ Tesla
สำรวจอนาคตของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้สายอีกต่อไป หลักการทำงานเป็นอย่างไร และเมื่อไหร่เราจะได้ใช้งานจริง? จินตนาการถึงโลกที่คุณเพียงแค่จอดรถยนต์ไฟฟ้าในช่องจอดรถที่บ้านหรือที่ทำงาน แล้วรถของคุณก็เริ่มชาร์จโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการเสียบสายชาร์จ นี่คือภาพอนาคตที่เทคโนโลยีการชาร์จไร้สาย (Wireless EV Charging) กำลังจะทำให้เป็นจริง หลักการทำงานของการชาร์จไร้สายนั้นคล้ายคลึงกับการชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สาย โดยอาศัยหลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Induction) แผ่นส่งกำลัง (Transmitter Pad) ที่ติดตั้งอยู่บนพื้นจะสร้างสนามแม่เหล็กขึ้นมา และเมื่อรถยนต์ที่มีแผ่นรับกำลัง (Receiver Pad) ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถเข้ามาจอดในตำแหน่งที่ถูกต้อง สนามแม่เหล็กจะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวดของแผ่นรับกำลังและส่งต่อไปยังแบตเตอรี่ ปัจจุบันมีหลายบริษัททั่วโลกกำลังพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีนี้ โดยมีความท้าทายหลักๆ คือเรื่องของประสิทธิภาพในการส่งผ่านพลังงาน ซึ่งยังคงมีการสูญเสียพลังงานสูงกว่าการชาร์จแบบใช้สาย และความแม่นยำในการจอดรถให้ตรงตำแหน่งเพื่อให้การชาร์จมีประสิทธิภาพสูงสุด แม้ว่าจะเริ่มมีการทดลองใช้งานในบางพื้นที่ เช่น กับรถบัสไฟฟ้าหรือแท็กซี่ไฟฟ้าในบางเมือง แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปคาดว่าอาจจะต้องรออีก 3-5 ปี กว่าที่เทคโนโลยีนี้จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและมีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่คือก้าวสำคัญที่จะทำให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าสะดวกสบายขึ้นไปอีกขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
สัมผัสความแรงระดับ 0-100 ใน 1.9 วินาที กับซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจาก GAC AION ที่เตรียมบุกตลาดโลก GAC AION ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการยานยนต์อีกครั้งด้วยการเปิดตัว 'Hyper SSR' ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงที่มาพร้อมกับตัวเลขที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังสูงสุดถึง 1,225 แรงม้า และแรงบิดมหาศาล 12,000 นิวตันเมตร ความสุดยอดของ Hyper SSR อยู่ที่อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ทาง AION เคลมว่าสามารถทำได้ในเวลาเพียง 1.9 วินาทีเท่านั้น ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีอัตราเร่งเร็วที่สุดในโลกทันที ตัวถังของรถทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ 100% เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแกร่ง การออกแบบภายนอกเน้นหลักอากาศพลศาสตร์อย่างเต็มที่ พร้อมประตูแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly Doors) ที่บ่งบอกความเป็นซูเปอร์คาร์ได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นรถสมรรถนะสูง แต่ AION ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Snapdragon 8155 สำหรับระบบอินโฟเทนเมนต์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADiGO 5.0 Hyper SSR จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือรุ่นปกติและรุ่น Ultimate ที่มีอัตราเร่ง 1.9 วินาที การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นการประกาศศักดาของค่ายรถยนต์จากจีนว่าพร้อมที่จะแข่งขันในตลาดซูเปอร์คาร์ระดับโลกแล้ว และเป็นสิ่งที่น่าจับตามองว่ามันจะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดนี้ได้มากน้อยเพียงใด